ที่มีความใฝ่ฝันจะเรียนปริญญาเอก ฝันมาตั้งแต่ป.ตรี วันนี้คงต้องตัดใจแล้วจริงๆ สรุปได้เรียนนะ เรียน PhD Logistics and Supply Chain Management ที่ จุฬา ตั้งแต่ปี 2022 เรียนมา 2 ปีแล้ว หมดเงินไปจะ 4 แสนแล้ว ค่าเทอม เทอมละ 84500 บาท จ่ายมา 4 เทอมแล้ว เรียนจบ Coursework แล้ว แต่ สอบ QE ไม่ผ่าน ต้องลาออกแล้วมาสมัครเข้าใหม่อีก เสียเงินค่าสอบ GRE IELTS Cu-tep ทั้งแบบ คอม และแบบกระดาษ หมดไปเยอะ แถมไปสมัคร AIT อีก แต่เค้าให้ทุนแค่ครึ่งเดียว เลยไม่ได้เอา ก็แบกหน้าไปสอบสัมภาษณ์อีกรอบ สุดท้ายเค้าก็รับอีกครั้ง จากรหัส 65 มาเป็นรหัส 67 แต่พอมานั่งทบทวนแล้ว ประกอบกับปัญหาสุขภาพด้วยเลยคิดว่า หยุดไว้แค่นี้จะดีกว่า ในเมื่อความฝันมันไม่สอดคล้องกับความจริง เราก็ไม่ควรฝืน ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะฉะนั้น เปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตใหม่รักษาเนื้อรักษาตัวไว้้น่าจะเป็นเป้าหมายหลักในชีวิตมากหว่า
Another TomBoy
Thursday, 25 July 2024
Present Tense
ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้เขียนมานานขนาดนี้ เขียนมาตั้งแต่ปี 2009 ตอนชีวิตเพิ่งจะเริ่ม จนตอนนี้ปี 2024 ที่ชีวิตน่าจะตกผลึกแล้วว่าต้องไปทางไหน
STRONG TURTLE
เริ่มต้นออกกำลังกายวิธีใหม่ ด้วยการเดิน อายุเยอะมากขึ้น รู้สึกโรคภัยเบียดเบียน รู้สึกไม่ฟิตเหมือนเดิม มีแฟนทีไรปล่อยตัวทุกที แต่รอบนี้ปล่อยตัวมากเป็นพิเศษ อะไรไม่ดี กินแม่มหมดเลย เมื่อก่อนไม่เคยกินมันหมูปิ้ง ทุกวันนี้กินหน้าตาเฉย ไม่เคยกินตรงขาวๆที่เป็นมันของหมูกรอบ ก็กินได้อร่อยดี ไม่รู้คิดอะไร น้ำอัดลมก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
ขออ้างเรื่องบ้านไกลจากที่ทำงานหน่อย การที่ต้องขับรถ เช้า ชม.ครึ่ง เย็น ชม. ครึ่ง มันหมดแรงที่จะออกกำลังกายจริงๆนะ จะเข้าฟิตเนต ก็ไม่มีที่จอดรถ จะเล่นโยคะก็แพง จะวิ่งก็ไม่ชอบ ข้ออ้างเยอะจริงๆ
จะผอมได้ก็ต่อเมื่ออยู่เมืองนอก เป็นนักศึกษาด้วย เป็นเด็กเสริ์ฟด้วย วันๆก็ใช้จักรยานในการเดินทาง ตกเย็นก็เสริ์ฟอาหาร เดินมั่ง วิ่งมั่งไม่ได้พัก ตั้งแต่ ห้าโมงเย็นถึงห้าทุ่ม แปบเดียวผอม ก็เลยเอาวะ เลือกเดินนี่แหละ
ปกติก็เป็นคนชอบเดินอยู่แล้วนะ จริงๆในกรุงเทพมีที่น่าเดินหลายที่เลย แต่มันทั้งร้อน ทั้งอันตราย เลยหยุดความคิดเรื่องเดินท่องเที่ยวเป็นทัวร์ริสไว้ก่อน
โชคดีที่แถวบ้านมีสวนสาธารณะ อยู่มาหกปีแล้วเพิ่งจะได้เคยไป ร่มรื่นดี คนไม่เยอะมาก แถมมีที่จอดรถสะดวกสบาย แถมใกล้บ้านก็เลยจริงจังกับการเดินนี่แหละวะ
ก่อนที่จะมาหยุดที่การเดิน ก็ไปเรียนโยคะมาคอร์สนึง สิบครั้ง ก็สนุกดีนะ แต่เราเป็นคนตัวไม่อ่อน พอเล่นไม่ได้ก็เกิดอาการเซ็ง จะมาเล่นต่อเองที่บ้านก็ขี้เกียจเกินกว่าจะรับได้
สวนสาธารณะนี้ ระยะทางให้เดินอยู่ที่รอบละ ประมาณ สองกิโล วันแรกเดินไป สามรอบ หกกิโล ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร แถมเดินเสร็จแล้วไปกินซูชิต่ออีก
กลับมาเลยลองค้นหาการเดินลดความอ้วน กำลังใจถดถอยมาก เพราะส่วนมากบอกว่าไม่ช่วยอะไร ให้วิ่งจะดีกว่า ทุกคนเชียร์ให้วิ่ง ก็เอ๊ะ กูจะเดินนน
เราเป็นคนไม่ชอบการวิ่งมาตั้งแต่เด็ก วิ่งแล้วรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เมื่อเจอแต่คอมเม้นบอกให้วิ่งก็เกือบจะถอดใจ แต่ก็คิดได้ว่า ช่างแม่ม คนจะวิ่งสะอย่าง ในเมื่อไม่มีรีวิว อะไรที่เชียร์ให้เดิน เดี๋ยวเขียนเองก็ได้ ก็เลยเป็นที่มาของการเขียนบลอคครั้งนี้
พอวันที่สอง ก็นะ แอนตี้การวิ่ง เดินมัน สี่รอบ แปดกิโลสะเลย กลับบ้านมาปวดเมื่อยเนื้อตัว แถมหัวเข่าที่ปวดอยู่แล้ว ก็แสดงอาการโอดครวญขึ้นมาทันที
กลับบ้านมา มาหาข้อมูลการเดินเร็วลดความอ้วนต่อ บางบทความก็ให้กำลังใจว่า เดินไปเถอะ ยังไงก็ดี แถมยังโชคดีไปเจอบทความนึง เค้าว่าให้วิ่ง แค่ สิบวินาที สลับกับเดิน สองนาที เราก็เออ พอไหว วิ่งแค่ สิบวิเอง วันนี้ไปก็เลยลองทำดู แต่วิ่งไม่กี่ครั้งหรอก เหนื่อยเกิน ไม่ชอบจีจี แต่ก็ดีนะจะฝึกไปเรื่อยๆ
วันนี้กลับมาก็สะบักสะบอมเหมือนเดิม
อันนี้เขียนแบบย่อๆ อย่างรีบๆ เพราะอยากเขียน จริงๆการเดินเร็วในสวนสาธารณะเนี่ยะ มีอะไรให้เม้าได้เยอะแยะเลย แล้วจะมาเล่าเรื่อยๆละกัน
กฏของความต่อเนื่อง
ขออ้างเรื่องบ้านไกลจากที่ทำงานหน่อย การที่ต้องขับรถ เช้า ชม.ครึ่ง เย็น ชม. ครึ่ง มันหมดแรงที่จะออกกำลังกายจริงๆนะ จะเข้าฟิตเนต ก็ไม่มีที่จอดรถ จะเล่นโยคะก็แพง จะวิ่งก็ไม่ชอบ ข้ออ้างเยอะจริงๆ
จะผอมได้ก็ต่อเมื่ออยู่เมืองนอก เป็นนักศึกษาด้วย เป็นเด็กเสริ์ฟด้วย วันๆก็ใช้จักรยานในการเดินทาง ตกเย็นก็เสริ์ฟอาหาร เดินมั่ง วิ่งมั่งไม่ได้พัก ตั้งแต่ ห้าโมงเย็นถึงห้าทุ่ม แปบเดียวผอม ก็เลยเอาวะ เลือกเดินนี่แหละ
ปกติก็เป็นคนชอบเดินอยู่แล้วนะ จริงๆในกรุงเทพมีที่น่าเดินหลายที่เลย แต่มันทั้งร้อน ทั้งอันตราย เลยหยุดความคิดเรื่องเดินท่องเที่ยวเป็นทัวร์ริสไว้ก่อน
โชคดีที่แถวบ้านมีสวนสาธารณะ อยู่มาหกปีแล้วเพิ่งจะได้เคยไป ร่มรื่นดี คนไม่เยอะมาก แถมมีที่จอดรถสะดวกสบาย แถมใกล้บ้านก็เลยจริงจังกับการเดินนี่แหละวะ
ก่อนที่จะมาหยุดที่การเดิน ก็ไปเรียนโยคะมาคอร์สนึง สิบครั้ง ก็สนุกดีนะ แต่เราเป็นคนตัวไม่อ่อน พอเล่นไม่ได้ก็เกิดอาการเซ็ง จะมาเล่นต่อเองที่บ้านก็ขี้เกียจเกินกว่าจะรับได้
สวนสาธารณะนี้ ระยะทางให้เดินอยู่ที่รอบละ ประมาณ สองกิโล วันแรกเดินไป สามรอบ หกกิโล ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร แถมเดินเสร็จแล้วไปกินซูชิต่ออีก
กลับมาเลยลองค้นหาการเดินลดความอ้วน กำลังใจถดถอยมาก เพราะส่วนมากบอกว่าไม่ช่วยอะไร ให้วิ่งจะดีกว่า ทุกคนเชียร์ให้วิ่ง ก็เอ๊ะ กูจะเดินนน
เราเป็นคนไม่ชอบการวิ่งมาตั้งแต่เด็ก วิ่งแล้วรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เมื่อเจอแต่คอมเม้นบอกให้วิ่งก็เกือบจะถอดใจ แต่ก็คิดได้ว่า ช่างแม่ม คนจะวิ่งสะอย่าง ในเมื่อไม่มีรีวิว อะไรที่เชียร์ให้เดิน เดี๋ยวเขียนเองก็ได้ ก็เลยเป็นที่มาของการเขียนบลอคครั้งนี้
พอวันที่สอง ก็นะ แอนตี้การวิ่ง เดินมัน สี่รอบ แปดกิโลสะเลย กลับบ้านมาปวดเมื่อยเนื้อตัว แถมหัวเข่าที่ปวดอยู่แล้ว ก็แสดงอาการโอดครวญขึ้นมาทันที
กลับบ้านมา มาหาข้อมูลการเดินเร็วลดความอ้วนต่อ บางบทความก็ให้กำลังใจว่า เดินไปเถอะ ยังไงก็ดี แถมยังโชคดีไปเจอบทความนึง เค้าว่าให้วิ่ง แค่ สิบวินาที สลับกับเดิน สองนาที เราก็เออ พอไหว วิ่งแค่ สิบวิเอง วันนี้ไปก็เลยลองทำดู แต่วิ่งไม่กี่ครั้งหรอก เหนื่อยเกิน ไม่ชอบจีจี แต่ก็ดีนะจะฝึกไปเรื่อยๆ
วันนี้กลับมาก็สะบักสะบอมเหมือนเดิม
อันนี้เขียนแบบย่อๆ อย่างรีบๆ เพราะอยากเขียน จริงๆการเดินเร็วในสวนสาธารณะเนี่ยะ มีอะไรให้เม้าได้เยอะแยะเลย แล้วจะมาเล่าเรื่อยๆละกัน
กฏของความต่อเนื่อง
Monday, 13 July 2015
เธอแค่มีความสุข แต่ว่าเธอไม่ได้รักกัน
เป็นเพลงที่ดังมากเพลงนึง ไปที่ไหนก็มักจะได้ยินประโยคที่สะกิดอารมณ์ "เธอแค่มีความสุข แต่ว่าเธอไม่ได้รักกัน" ฟังท่อนนี้ทีไร วิ้งๆในหัวทุกที
จริงของเพลง บางทีเราอาจจะชอบอยู่กับคนที่ทำให้เรามีความสุข แต่เค้าอาจจะไม่ใช่คนที่เรารักก็ได้ เหมือนกัน คนที่อยู่กับเราแล้วมีความสุข เค้าก็อาจจะไม่ได้รักเราเหมือนกัน
เพราะคนเรารักตัวเอง มักจะทำให้ตัวเองมีความสุขก่อน ซึ่งก็ไม่ผิด เพียงแต่ต้องถามใจตัวเองว่ารักครั้งนี้ มันคืออะไร แล้วดึงสติตัวเองกลับมาก็แค่นั้น
Thursday, 14 May 2015
Ford Thailand
เห็นเรื่อง Guerrilla Marketing มีคนเข้ามาอ่านเยอะดี เลยคิดว่าการแสดงความเห็นเรื่องของการตลาด หรือ ธุรกิจนั้น น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักศึกษา
ตอนที่เราเป็นนักศึกษา ก็หาความรู้จากอินเตอร์เนตนี่แหละ search ไป search มาเดี๋ยวก็เจอที่ต้องการ วันๆ เอาแต่หาข้อมูลไว้บี้กับชาวบ้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรทำความเข้าใจคือ ข้อมูลในอินเตอร์เนตเป็นข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย (มาก) เพราะฉะนั้นข้อมูลที่ได้มาก็จะเหมือนๆกัน เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้คะแนนดีกว่าชาวบ้านก็ควรที่จะหาให้ลึกลงไป จนไปถึงข้อมูลที่เรียกได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ เราถึงจะมีคะแนนมากกว่าเค้า รับรองว่าคนที่ผ่านมาอ่านต้องมีนักศึกษาปริญญาโทจากต่างประเทศบ้างแหละ ที่คิดว่า หาข้อมูลเป็นภาษาไทยดีกว่าเว้ย แล้วเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษเอา ขอบอกว่าผ่านการกระทำนั้นมาแล้วเหมือนกัน
วันนี้อยู่บ้านว่างๆพร้อมกับเฝือกขาข้างซ้าย ที่อยู่ๆก็ได้มาจากการเดินลงบันไดปกติ แล้วข้อเท้าพลิก แล้วเอ็นข้อเท้าก็ฉีก ก็เลยต้องเข้าเฝือก เลยมีเวลามานั่งจัดการกับความคิดตัวเอง ซึง blog นี้อาจจะเป็นblog เปลี่ยนชีวิตเราเลยก็ได้นะ
จากการที่เรียนปริญญาตรี 2 ใบ (ด้านภาษากับด้านธุรกิจระหว่างประทศ) และ ปริญญาโท 2 ใบ (ด้านการตลาดกับการท่องเที่ยวและโรงแรมจากต่างประเทศ) ก็ยังทำให้เราหาตัวเองไม่เจอนะว่าชอบอะไร อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหน เพราะงานที่ทำในปัจจุบันมันไม่ใช่สิ่งที่เรียนมาเลย แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ชอบด้วย แต่คนเราทุกคนก็ต้องมีข้อจำกัดในชีวิตกันทุกคนแหละเนอะ เพราะฉะนั้น อะไรที่ชอบทำที่อยากทำก็เอามาเป็นงานเสริม อาชีพเสริมหรืองานอดิเรกก็ว่ากันไป
บางทีก็อิจฉาพวกที่มีใบประกอบวิชาชีพนะ เค้ารู้ว่าเค้าต้องทำอะไร ต่อยอดทางด้านไหน เช่น หมอ วิศวะ หรือพวกจบIT ไอ้เราก็ดันหัวไม่ถึงจะเรียนวิทย์ ตอนเรียนม.4 เข้าไปเรียนสายวิทย์ คณิต ได้เทอมเดียวก็เผ่นแล้ว ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข ได้ 1 หมด นอกนั้น เกรด 4 หมด จะอยู่ทำไมล่ะ ย้ายมา วิทย์ คณิต ทันที
นี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีใครเข้ามาอ่านรึป่าว หรือเข้ามาอ่านจะรู้เรื่องมั้ย เพราะเท่าที่เห็น คนที่เข้ามาอ่าน blog เรามาจากแถบ ยุโรป อเมริกา ซะมาก แต่เขียนไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน ต่อสาธุชนรุ่นหลัง
ยืดเยื้อมาเสียนานที่เข้ามาเขียน จะเขียนถึง รถ ฟอร์ด (FORD Thailand) กับการตลาดแบบ งง งง
ตอนแรกที่บ้านใช้รถฟอร์ด อยู่ 1 คัน เป็นรถของแม่ อายุรถประมาณ 10 ปี ได้ ถึงแม้จะกินน้ำมันมาก แต่ก็ถูกใจในความแข็งแรง อุบัติเหตุครั้งแรก ขับรถขึ้นสะพานแล้วรถบรรทุกของ กทม.สีเขียวๆน่ะ ไหลลงมาชน ฝากระโปรงยุบ นอกนั้นไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นรถญี่ปุ่นทั่วไปคงหนักกว่านี้มาก ครั้งที่ 2 แม่ไปเกี่ยวกับรถบรรทุก หนักอยู่ แต่รถก็ไม่เสียหายมาก ที่บ้านเลยเชื่อใจในความแข็งแกร่งของรถฟอร์ด ล่าสุด จะเปลี่ยนรถให้พ่อ อายุ 65 ปี ไม่ได้ขับไปไหนมาก ก็เลยเลือกรถคันเล็กๆ ของ Ford นั่นก็คือ Ecosport
ก่อนซื้อเห็นคนบ่นปัญหาเรื่องเฟียสต้ามาก มากจนแทบจะไม่มีใครกล้าซื้อ แต่เราเชื่อใจในความแข็งแรงของฟอร์ด แต่ถ้าถามว่าซื้อมาแล้วผิดหวังมั้ย ทั้งๆที่อ่านรีวิวมาแล้วว่าปัญหาคืออะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผิดหวังกับรถคันนี้จริงๆ ถ้าไม่รวมเรื่องป้ายทะเบียนให้โชคนะ ให้หลายรอบเสียด้วย :)
ปีที่แล้วFORDมี promotion 0% ซึ่งในประกาศบอกว่าให้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น เราเห็นเป็นโปรที่โอเค เลยไปซื้อ แต่ปัจจุบัน promotion นี้ของรถบางรุ่นก็ยังอยู่ และอยู่มาตลอด ซึ่งในฐานะผู้บริโภคเรามองว่า สินค้าของเจ้านี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ พูดไม่เป็นพูด มันทำให้ขาดความน่าตื่นเต้นในตัว promotion คำว่า promotion มันคือ สิ่งที่ผู้ที่ได้รับรู้สึกพิเศษมากกว่าคนทั่วไป ไม่ใช่ซื้อวันนี้ ก็ได้ราคาเท่ากับคนที่ซื้อวันหน้า แล้วจะเรียกว่า promotion ทำไม อย่างน้อยก็ทิ้งช่วงเวลาอย่างต่ำสัก 6 เดือนให้ราคารถลงก่อน ค่อยกลับมาใช้ใหม่ก็ยังได้
ปัจจุบัน promotion มาใหม่ 22 - 24 พ.ค. ดอกเบี้ย 0% 72 เดือน แถม มีการซื้อรถ 1 คัน อาจจะได้ฟรี 1 คัน ยิ่งทำให้ ผูู้บริโภค รู้สึกไม่มั่นใจ ถึงคุณภาพของรถ ที่ลดแลกแจกแถมกันขนาดนี้ คือผู้บริโภค สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ "ขายไม่ออก"ของรถฟอร์ดในปัจจุบัน
ผู้บริหารฟอร์ด น่าจะรวมการบริหารแบบรถอเมริกันมาประยุกต์ใช้กับไทย แต่ไม่น่าจะได้ผล ซื้อรถฟอร์ด 1 คัน มีคนจากบริษัทโทรมาสำรวจความพึงพอใจไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ซึ่งน่าจะเอางบประมาณบางส่วนจาการ"สำรวจ"ความพึงพอใจ ไปพัฒนาอู่และการให้บริการทั้งต่อหน้าและลับหลังจะดีกว่า
ก่อนอื่นคุณต้องยอมรับก่อนว่ารถคุณมีปัญหา และ พร้อมที่จะแก้ไขให้เมื่อเกิดปัญหา ถึงจะซื้อใจผู้บริโภคได้ การซื้อรถแต่ละคันมันขึ้นอยู่กับดวงอยู่แล้วไม่ว่าจะยี่ห้อไหน ไม่มีใครว่างเอารถเข้าศูนย์บ่อยๆ นอกเสียจากว่ามันเกินเยียวยาจริงๆ ตอนนี้มีผู้บริโภคส่วนน้อย ถึง น้อยมากที่ยังเชื่อใจรถฟอร์ด เราเป็นคนหนึ่งที่เคยเชื่อใจ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว รถเรายังไม่มีปัญหาเกินที่จะเยียวยา แต่เป็นปัญหาจุกจิกที่เป็นตั้งแต่แรก ซึ่งถ้าเอารถเข้าซ่อมแล้วปัญหาน่าจะเลยเถิดไปใหญ่ เช่น กดกระจกแล้วมีเสียงเอี๊ยดอ้าดเสียดสี ฟิล์มรถยนต์ด้านหน้าเป็นคลื่น ขณะขับมีเสียงตรงใต้พวงมาลัย เร่งไม่ขึ้น (รีวิวบอกตลอดแต่ก็ไม่คิดว่าจะเรื้อรังขนาดนี้) ซึ่งเราไม่อยากจะเข้าไปเพิ่มปัญหา หรือไปคลำปัญหาให้กับรถ
นอกจากนั้นสิ่งที่เรารู้สึกเหมือนโดนทรยศจากฟอร์ด คือการนำรถเข้าเชคของฟอร์ดมีช่วงเวลาที่นานจนผิดสังเกตคือ 15000 km หรือ 6 เดือน ซึ่งทางผู้ขายอ้างว่า รถเราดีไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยๆ แค่นี้ก็แสดงออกถึงความไม่รับผิดชอบ ไม่จริงใจ และหนีปัญหาแล้ว การซื้อรถสักคัน ควรจะมีการดูแลหลังการขายให้มากกว่านี้ อย่างน้อย ให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าไปตรวจเช็ครถสักหน่อยก็ยังดี ให้สบายใจจากข่าวแง่ลบของรถฟอร์ดที่มีออกมาตลอด แต่ดูเหมือนฟอร์ดจะใช้วิธีการตรวจเช็คระยะครั้งแรกนี้ในการหนีปัญหา เราไม่รู้ค่ายอื่นระยะตรวจเช็คเป็นอย่างไร แต่ค่ายญี่ปุ่น 2 เจ้า ไม่เป็น แต่บางคนก็อาจจะบอกว่า ค่ายญี่ปุ่นเอาเปรียบผู้บริโภคโดยการให้เข้าเช็คบ่อยๆ แต่ในความคิดเห็นของเรา เราพอใจที่รถได้รับการตรวจเช็คตลอดเวลา มีปัญหาอะไรก็บอกและตรวจเช็คได้ในทันที
สรุป ผู้บริหารของฟอร์ดต้องแก้เกมส์ และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคก่อน ถึงจะกระเตื้องยอดขายขึ้นมาได้ การให้ดอกเบี้ย 0% นั้นจูงใจผู้ซื้อที่ส่วนมากมีกำลังซื้อไม่มากและไม่อยากเสียดอกเบี้ย แต่ก็ต้องมานั่งคิดทบทวนว่า ถึงจะไม่เสียดอกเบี้ย แต่รถเข้าศูนย์บ่อยเป็นว่าเล่น แล้วไม่มีรถใช้ก็ไม่คุ้มกับค่าดอกเบี้ย ร้อยละไม่กี่บาทของค่ายอื่นนะ
และความจริงที่เจ็บปวดไปกว่านั้น รถรุ่นที่ขายดิบขายดีอยู่รุ่นเดียวอย่าง Ford Ranger Wildtrak นั้น ราคาไม่เคยลง และไม่มี Promotion 0% ออกมาให้เห็นอย่างรุ่นอื่นๆที่ขายไม่ค่อยดี เช่น open cab , double cab แค่นี้ผู้บริโภคก็จับไต๋ของฟอร์ดได้แล้วว่า รถไหนขายดีเก็บไว้โก่งราคา รถไหนขายไม่ดีปล่อยให้หมด แล้วใครจะกล้าซื้อรถที่ขายไม่ดี อะไหล่ก็หายาก ปัญหาก็เยอะล่ะจริงไหม
Saturday, 18 April 2015
จาก Airport เข้าเมือง Melbourne ราคาถูก
วันนี้มีทริป ที่ไปเที่ยวเมลเบริ์นมาฝาก การไปเที่ยว 10 วันเต็มๆแค่เมลเบริ์นเท่านั้น เลยเอาข้อมูลมาแชร์กันหน่อย เพราะตอนก่อนไปก็หาข้อมูลจากทางอินเตอร์เนตไว้ ถือว่าเป็นการคืนกำไรสู่สังคม
เริ่มแรกเลย การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
เราเดินทางด้วยสายการบินไทย ออกจาก ไทย 00.15 ถึง เมลเบริ์น 12.05 (เค้าเร็วกว่าเรา 3 ชม.) ตอนก่อนไป เราหาข้อมูลการเข้าเมืองไว้จากหลายเวบ ล้วนแล้วแต่ให้นั่ง skybus ข้อมูลล่าสุดคือ เที่ยวเดียว $18 ถามว่าสะดวกมั้ย ตอบว่าสะดวกมาก ออกมาจากประตูก็เจอเลยหาได้ไม่ยาก แต่ มันธรรดาเกินไปสำหรับคนอย่างเรา
ถ้าไป skybus เดินทางไป 3 คน x $18 = $54
ถ้าไป Taxi ก็ไม่รู้จะเท่าไหร่
พอดีก่อนไป หาข้อมูลเจอกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/02/E11758995/E11758995.html
ที่บอกวิธีการเข้าเมลเบริ์นด้วยรถสาธารณะ (นั่งรถเมล์ ต่อรถไฟ) ก็เลยเจริญรอยตาม
ท่านบอกว่า ซื้อตั๋ว ทั้งวันประมาณ 6 - 7 เหรียญ ถ้าใช้แค่ 2 ชม.ก็ชาร์ต ไม่เกิน $4 (ลองดูในกระทู้พี่เค้านะ อันนี้เท่าที่จำได้) ถูกกว่าเห็นๆ จึงไม่รอช้า เดินตามลายแทงที่พี่เค้าบอกทันที
แต่..... วันนั้นที่พี่เค้าไปคือปี 2012 วันนี้ปี 2015 อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป
วันนี้ไม่ต้องเดินไปขึ้นที่ T4 ตามที่พี่เค้าบอกแล้ว แค่เดินออกมา ข้ามถนนแค่ช่วงเดียว จะเจอ ป้าย domestic bus สีม่วงๆ ที่มีหลายป้ายมาก ไม่ต้องตกใจให้เดินไปทางซ้ายสุด (หันหลังให้แอร์พอร์ต) จะเจอป้ายรถเมล์ เบอร์ 901 อยู่ กว่าเราจะถึงบางอ้อ เพราะมัวแต่ตามลายแทงรถก็ผ่านไป 2 เที่ยวแล้ว อ่อ ก่อนเข้าไป ควรเช็คเวลาจากทาง
http://ptv.vic.gov.au/timetables/line/8698 เสียก่อนนะ ว่าเราจะมานาทีที่เท่าไหร่บ้าง จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรอ
!!!! อันนี้สำคัญ ก่อนจะขึ้นรถโดยสารของเค้า ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์หรือรถไฟจะต้องมี myki pass ก่อน ซึ่งหาซื้อได้ในแอร์พอร์ต เราไม่ได้ซื้อนึกว่าคนขับมีขาย แต่ไม่มี คนขับมีแต่ให้เติมเงิน เลยนั่งรถฟรีแบบผิดๆไป
อีกอย่าง ว่าด้วยเรื่องของโทรศัพท์ ก่อนออกมาจากแอร์พอร์ต จะมีเค้าเตอร์ optus ซื้อซิมแล้วให้เค้าเติมเงินแล้วเซ็ทเครื่องให้เลย ง่ายกว่ามาทำเองเยอะ แถมไม่ต้องเสียเงินค่าซิม
เราซื้อ $20 สำหรับ 10 วัน โทรและข้อความไม่จำกัด Internet รู้สึกจะ 500MB ต่อวันก็โอเคแล้ว
นอกเรื่องไปหน่อย กลับมาขึ้นรถต่อ ในขณะที่อยู่บนรถเมล์ พี่เจ้าของกระทู้ บอกให้ลง สถานีรถไฟ broadmedows ไอ้เราก็ท่องเสียดิบดี แต่เลยจนได้ ทางที่ดีควรบอกพี่คนขับเอาไว้ว่าให้เรียกด้วยนะ แต่ของเรา คนขับดันเปลี่ยนคน เลยไม่รู้ว่าเค้าเปลี่ยนคนขับเหมือนกันทุกคันรึป่าว พอเลยป้ายไป ก็เดินไปถามคนขับ เค้าบอกไปลงป้ายหน้าก็ได้ เป็นสถานีรถไฟเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็น Roxburgh Station จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับป้ายรถเมล์ ถ้าใครหลงมาก็เข้าสถานี แล้วข้ามไปฝั่งตรงข้ามเลย รู้สึกว่ารถจะเข้า สถานีSouthern cross ทุกคัน ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึง ถ้ารวมกับรถเมล์ด้วย ก็ 30 - 45 นาทีก็ถึง สถานี Southern Cross อย่างง่ายดาย ไม่ถึง $10 ต่อคน แถมบัตรรถก็ยังใช้ต่อได้อีกด้วย
สรุป
- ถ้าเลย ไปลง Roxburgh Station จุดสังเกต จะเจอ 7 - 11 อยู่ซ้ายมือ นั่นแปลว่าเลย ให้ลงแล้วข้ามถนนไปขึ้นรถไฟฝั่งตรงข้าม
วันนี้เอาแค่เข้าเมืองก่อนก็แล้วกันนะ วันหลังจะมาบอกข้อมูลการไปเที่ยวที่ต่างๆในเมลเบริ์นให้ได้รู้กัน
เริ่มแรกเลย การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
เราเดินทางด้วยสายการบินไทย ออกจาก ไทย 00.15 ถึง เมลเบริ์น 12.05 (เค้าเร็วกว่าเรา 3 ชม.) ตอนก่อนไป เราหาข้อมูลการเข้าเมืองไว้จากหลายเวบ ล้วนแล้วแต่ให้นั่ง skybus ข้อมูลล่าสุดคือ เที่ยวเดียว $18 ถามว่าสะดวกมั้ย ตอบว่าสะดวกมาก ออกมาจากประตูก็เจอเลยหาได้ไม่ยาก แต่ มันธรรดาเกินไปสำหรับคนอย่างเรา
ถ้าไป skybus เดินทางไป 3 คน x $18 = $54
ถ้าไป Taxi ก็ไม่รู้จะเท่าไหร่
พอดีก่อนไป หาข้อมูลเจอกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/02/E11758995/E11758995.html
ที่บอกวิธีการเข้าเมลเบริ์นด้วยรถสาธารณะ (นั่งรถเมล์ ต่อรถไฟ) ก็เลยเจริญรอยตาม
ท่านบอกว่า ซื้อตั๋ว ทั้งวันประมาณ 6 - 7 เหรียญ ถ้าใช้แค่ 2 ชม.ก็ชาร์ต ไม่เกิน $4 (ลองดูในกระทู้พี่เค้านะ อันนี้เท่าที่จำได้) ถูกกว่าเห็นๆ จึงไม่รอช้า เดินตามลายแทงที่พี่เค้าบอกทันที
แต่..... วันนั้นที่พี่เค้าไปคือปี 2012 วันนี้ปี 2015 อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป
วันนี้ไม่ต้องเดินไปขึ้นที่ T4 ตามที่พี่เค้าบอกแล้ว แค่เดินออกมา ข้ามถนนแค่ช่วงเดียว จะเจอ ป้าย domestic bus สีม่วงๆ ที่มีหลายป้ายมาก ไม่ต้องตกใจให้เดินไปทางซ้ายสุด (หันหลังให้แอร์พอร์ต) จะเจอป้ายรถเมล์ เบอร์ 901 อยู่ กว่าเราจะถึงบางอ้อ เพราะมัวแต่ตามลายแทงรถก็ผ่านไป 2 เที่ยวแล้ว อ่อ ก่อนเข้าไป ควรเช็คเวลาจากทาง
http://ptv.vic.gov.au/timetables/line/8698 เสียก่อนนะ ว่าเราจะมานาทีที่เท่าไหร่บ้าง จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรอ
!!!! อันนี้สำคัญ ก่อนจะขึ้นรถโดยสารของเค้า ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์หรือรถไฟจะต้องมี myki pass ก่อน ซึ่งหาซื้อได้ในแอร์พอร์ต เราไม่ได้ซื้อนึกว่าคนขับมีขาย แต่ไม่มี คนขับมีแต่ให้เติมเงิน เลยนั่งรถฟรีแบบผิดๆไป
อีกอย่าง ว่าด้วยเรื่องของโทรศัพท์ ก่อนออกมาจากแอร์พอร์ต จะมีเค้าเตอร์ optus ซื้อซิมแล้วให้เค้าเติมเงินแล้วเซ็ทเครื่องให้เลย ง่ายกว่ามาทำเองเยอะ แถมไม่ต้องเสียเงินค่าซิม
เราซื้อ $20 สำหรับ 10 วัน โทรและข้อความไม่จำกัด Internet รู้สึกจะ 500MB ต่อวันก็โอเคแล้ว
นอกเรื่องไปหน่อย กลับมาขึ้นรถต่อ ในขณะที่อยู่บนรถเมล์ พี่เจ้าของกระทู้ บอกให้ลง สถานีรถไฟ broadmedows ไอ้เราก็ท่องเสียดิบดี แต่เลยจนได้ ทางที่ดีควรบอกพี่คนขับเอาไว้ว่าให้เรียกด้วยนะ แต่ของเรา คนขับดันเปลี่ยนคน เลยไม่รู้ว่าเค้าเปลี่ยนคนขับเหมือนกันทุกคันรึป่าว พอเลยป้ายไป ก็เดินไปถามคนขับ เค้าบอกไปลงป้ายหน้าก็ได้ เป็นสถานีรถไฟเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็น Roxburgh Station จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับป้ายรถเมล์ ถ้าใครหลงมาก็เข้าสถานี แล้วข้ามไปฝั่งตรงข้ามเลย รู้สึกว่ารถจะเข้า สถานีSouthern cross ทุกคัน ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึง ถ้ารวมกับรถเมล์ด้วย ก็ 30 - 45 นาทีก็ถึง สถานี Southern Cross อย่างง่ายดาย ไม่ถึง $10 ต่อคน แถมบัตรรถก็ยังใช้ต่อได้อีกด้วย
สรุป
- ซื้อ sim card ของ Optus
- ซื้อ Myki pass พร้อม เติมเงิน สัก $10
- เดินออกมา ข้ามถนนไป 1 ช่วง จะเจอป้ายรถเมล์สีม่วง(เงยหน้าดู) เดินไปป้ายซ้ายสุด (หันหลังให้airport) หาป้ายรถ สาย 901
- ตึ๊ดบัตร myki แล้วบอกคนขับว่า ถึง broadmedows station แล้วเรียกด้วย (ไม่กี่ป้ายเท่านั้น นั่งก้นยังไม่ทันร้อนก็ถึง)
- ลงสถานี ถามหารถไฟที่ไป Southern Cross Station
- ถ้าเลย ไปลง Roxburgh Station จุดสังเกต จะเจอ 7 - 11 อยู่ซ้ายมือ นั่นแปลว่าเลย ให้ลงแล้วข้ามถนนไปขึ้นรถไฟฝั่งตรงข้าม
- ถึงสถานี Southern Cross station ก็หาทางไปโรงแรม โดยอาจจะนั่ง tram ไป ซึ่ง Southern Cross station อยู่ใน free zone แต่เช็คดีๆ ว่าโรงแรมที่จะไปพัก อยู่ ฟรีโซนรึป่าว ถ้าไม่ก็ต้องตึ๊ดบัตรนะ แต่ถ้ายังอยู่ใน free zone ก็ไม่ต้องตึ๊ด
วันนี้เอาแค่เข้าเมืองก่อนก็แล้วกันนะ วันหลังจะมาบอกข้อมูลการไปเที่ยวที่ต่างๆในเมลเบริ์นให้ได้รู้กัน
Wednesday, 17 September 2014
หนูติดจั่น
ช่วงชีวิตของมองมนุษย์
แบ่งง่ายๆออกเป็น ทีละ 10 ปี
ตามที่ได้รับการ forward ข้อความต่อๆกันมา
๐ สิบปีแรก..หมดไปกับความไร้เดียงสา
๐
สิบปีต่อมา..หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
๐
สิบปีต่อมา.หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
๐ สิบปีต่อมา..หมดไปกับการสร้างฐานะ
สร้างครอบครัว
๐ สิบปีต่อมา..หมดไปกับการลงหลักปักฐาน
รักษาสิ่งที่สร้างมา
๐
สิบปีต่อมา..หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกาย-ใจให้แข็งแรง
๐
สิบปีสุดท้าย..หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่ง รอคอยการกลับบ้าน
ซึ่งพอค้นไปค้นมา ไปเจอ การแบ่งชีวิต
ทุก 10 ปี ตามพระพุทธศาสนา เรียกว่า ทสกะ 10
มันททสกะ ๑๐ ปีแห่งเด็กอ่อน(1-10)
ขิฑฑาทสกะ ๑๐ ปีแห่งการเล่น(11-20)
วัณณทสกะ ๑๐ ปีแห่งผิวพรรณ(21-30)
พลทสกะ ๑๐ ปีแห่งกำลัง(31-40)
ปัญญาทสกะ ๑๐ ปีแห่งปัญญา(41-50)
หานิทสกะ ๑๐ ปีแห่งความเสื่อม(51-60)
ปัพภารทสกะ ๑๐ ปีแห่งความค้อม(61-70)
วังกทสกะ ๑๐ ปีแห่งความค่อม(71-80)
โมมูหทสกะ ๑๐ ปีแห่งความหลงลืม(81-90)
สยนทสกะ ๑๐ ปีแห่งความนอน(91-100)
@ http://www.dhammahome.com/webboard/topic/19602
ซึ่งอันหลังดูจะเข้าใจง่ายกว่า
ในความคิดของเรา
เราเห็นตัวอย่างของคนทุกช่วงชีวิต
แม้กระทั่งคนอายุ 93 ที่เราได้ใกล้ชิด
ก็คือคุณตาของเราเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราว่าก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละคนด้วยว่าดูแลตัวเองดีแค่ไหน
ถึงจะเรียกได้ว่าตัวเองโตสมวัย
ถ้านับตามช่วงชีวิต
เรากำลังอยู่ในช่วงปีแห่งกำลัง ซึ่งจะว่าไปการเป็นข้าราชการของเรานั้น
ยังไม่ค่อยได้ใช้กำลังสักเท่าไหร่ ทำงาน 0830 - 1630 ทำงานตาม routine ในทุกๆวัน
แค่ทำให้ได้ดีที่สุด ก็ไม่ได้ยากอะไร
ข้อเสียของการทำงานราชการคือเราไม่สามารถเดินไปบอกเจ้านายได้ว่า อยากทำงานนี้
อยากทำหน้าที่นี้ หรือ คิดโปรเจคงานใหม่ๆขึ้นมา
ทุกสิ่งทุกอย่างทุกงานเป็นการรับคำสั่ง และทำตามหน้าที่เท่านั้น พูดได้คำเดียวว่า
มันไม่ได้ท้าทาย ไม่ได้ใช้สมอง ใช้ความรู้
ความสามารถให้สมกับที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนมา
ตอนนี้ก็เลยเกิดอาการอยากจะมีอาชีพเสริมจนตัวสั่น วิ่งวน วิ่งวุ่น
จนถึงขั้นมองตัวเองว่าเป็น"หนูติดจั่น" นี่แหละมั้งเป็น
trend ของวัยทำงานยุคใหม่ ยุคตามใจฉัน ใครกล้าพอก็ลาออกมา
มาทำตามความฝัน ใครไม่กล้า หรือมีความจำเป็นที่ต้องทำงานประจำ
ก็ต้องทนอยู่ต่อไปให้สมองฝ่อไปเอง
ความอยากของคนไม่มีที่สิ้นสุด
อยากทำโน่น ทำนี่ เยอะแยะเต็มไปหมด
แต่ไม่ยอมมองตัวเองว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะทำรึป่าว อยากเปิดร้านอาหาร
ทั้งๆที่ตัวเองมีงานประจำทำ จันทร์ - ศุกร์ และถึงเปิดได้ แต่ไม่ได้ไปควบคุมเอง
ลูกน้องที่ไหนมันจะใส่ใจทำ ทั้งๆที่ไม่ใช่ของๆตัวเอง
ตามสถิติการเปิดร้านอาหารแล้วเจ้าของไม่ได้ดูแลเองตั้งแต่เปิด ยัน ปิด มักจะเจ๊ง
อยากขายของออนไลน์ ก็ไม่รู้จะขายอะไร ต้องซื้อของมา stock โน่นนี่แล้วมันใช่มั้ยเนี่ยะ อ่อที่สำคัญ ใครจะซื้อ??
ความบ้าของตัวเองที่วิ่งตามไอเดีย
วิ่งตามอยากอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมา 1 ปีเต็ม ทำให้ ผมหงอกมากขึ้น ไหล่ติด มือเท้าชา นิ้วล็อค น้ำหนักขึ้น
สายตาสั้น ตีนกาขึ้น และอีกหลากหลายอาการที่ยังนึกไม่ออก
บ้าระห่ำใช้กำลังจนลืมนึกถึงช่วงชีวิต
ในอีก 10 ปีข้างหน้า และ 10 ปีต่อๆไปของตัวเอง
บางที แค่อยู่นิ่งๆ เลิกอยาก พอใจในสิ่งที่มีอยู่ในทุกๆวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ต้องคอยบอกตัวเองว่าให้เลิกปล่อยพลัง
Subscribe to:
Comments (Atom)

