Thursday, 14 May 2015

Law of Attraction

อะไรที่คิดในวันนี้ มีผลในวันหน้า

ลองมาสักพักละ มันได้ผลนะ 


Ford Thailand


เห็นเรื่อง  Guerrilla Marketing มีคนเข้ามาอ่านเยอะดี เลยคิดว่าการแสดงความเห็นเรื่องของการตลาด หรือ ธุรกิจนั้น น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักศึกษา 

ตอนที่เราเป็นนักศึกษา ก็หาความรู้จากอินเตอร์เนตนี่แหละ search ไป search มาเดี๋ยวก็เจอที่ต้องการ วันๆ เอาแต่หาข้อมูลไว้บี้กับชาวบ้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรทำความเข้าใจคือ ข้อมูลในอินเตอร์เนตเป็นข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย (มาก) เพราะฉะนั้นข้อมูลที่ได้มาก็จะเหมือนๆกัน เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้คะแนนดีกว่าชาวบ้านก็ควรที่จะหาให้ลึกลงไป จนไปถึงข้อมูลที่เรียกได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ เราถึงจะมีคะแนนมากกว่าเค้า รับรองว่าคนที่ผ่านมาอ่านต้องมีนักศึกษาปริญญาโทจากต่างประเทศบ้างแหละ ที่คิดว่า หาข้อมูลเป็นภาษาไทยดีกว่าเว้ย แล้วเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษเอา ขอบอกว่าผ่านการกระทำนั้นมาแล้วเหมือนกัน 

วันนี้อยู่บ้านว่างๆพร้อมกับเฝือกขาข้างซ้าย ที่อยู่ๆก็ได้มาจากการเดินลงบันไดปกติ แล้วข้อเท้าพลิก แล้วเอ็นข้อเท้าก็ฉีก ก็เลยต้องเข้าเฝือก เลยมีเวลามานั่งจัดการกับความคิดตัวเอง ซึง blog นี้อาจจะเป็นblog เปลี่ยนชีวิตเราเลยก็ได้นะ

จากการที่เรียนปริญญาตรี 2 ใบ (ด้านภาษากับด้านธุรกิจระหว่างประทศ) และ ปริญญาโท 2 ใบ (ด้านการตลาดกับการท่องเที่ยวและโรงแรมจากต่างประเทศ) ก็ยังทำให้เราหาตัวเองไม่เจอนะว่าชอบอะไร อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหน เพราะงานที่ทำในปัจจุบันมันไม่ใช่สิ่งที่เรียนมาเลย แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ชอบด้วย แต่คนเราทุกคนก็ต้องมีข้อจำกัดในชีวิตกันทุกคนแหละเนอะ เพราะฉะนั้น อะไรที่ชอบทำที่อยากทำก็เอามาเป็นงานเสริม อาชีพเสริมหรืองานอดิเรกก็ว่ากันไป

บางทีก็อิจฉาพวกที่มีใบประกอบวิชาชีพนะ เค้ารู้ว่าเค้าต้องทำอะไร ต่อยอดทางด้านไหน เช่น หมอ วิศวะ หรือพวกจบIT ไอ้เราก็ดันหัวไม่ถึงจะเรียนวิทย์ ตอนเรียนม.4 เข้าไปเรียนสายวิทย์ คณิต ได้เทอมเดียวก็เผ่นแล้ว ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข ได้ 1 หมด นอกนั้น เกรด 4 หมด จะอยู่ทำไมล่ะ ย้ายมา วิทย์ คณิต ทันที 
นี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีใครเข้ามาอ่านรึป่าว หรือเข้ามาอ่านจะรู้เรื่องมั้ย เพราะเท่าที่เห็น คนที่เข้ามาอ่าน blog เรามาจากแถบ ยุโรป อเมริกา ซะมาก แต่เขียนไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน ต่อสาธุชนรุ่นหลัง 

ยืดเยื้อมาเสียนานที่เข้ามาเขียน จะเขียนถึง รถ ฟอร์ด (FORD Thailand) กับการตลาดแบบ งง งง 
ตอนแรกที่บ้านใช้รถฟอร์ด อยู่ 1 คัน เป็นรถของแม่ อายุรถประมาณ 10 ปี ได้ ถึงแม้จะกินน้ำมันมาก แต่ก็ถูกใจในความแข็งแรง อุบัติเหตุครั้งแรก ขับรถขึ้นสะพานแล้วรถบรรทุกของ กทม.สีเขียวๆน่ะ ไหลลงมาชน ฝากระโปรงยุบ นอกนั้นไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นรถญี่ปุ่นทั่วไปคงหนักกว่านี้มาก ครั้งที่ 2 แม่ไปเกี่ยวกับรถบรรทุก หนักอยู่ แต่รถก็ไม่เสียหายมาก ที่บ้านเลยเชื่อใจในความแข็งแกร่งของรถฟอร์ด ล่าสุด จะเปลี่ยนรถให้พ่อ อายุ 65 ปี ไม่ได้ขับไปไหนมาก ก็เลยเลือกรถคันเล็กๆ ของ Ford นั่นก็คือ Ecosport 

ก่อนซื้อเห็นคนบ่นปัญหาเรื่องเฟียสต้ามาก มากจนแทบจะไม่มีใครกล้าซื้อ แต่เราเชื่อใจในความแข็งแรงของฟอร์ด แต่ถ้าถามว่าซื้อมาแล้วผิดหวังมั้ย ทั้งๆที่อ่านรีวิวมาแล้วว่าปัญหาคืออะไร แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผิดหวังกับรถคันนี้จริงๆ ถ้าไม่รวมเรื่องป้ายทะเบียนให้โชคนะ ให้หลายรอบเสียด้วย :)

ปีที่แล้วFORDมี promotion 0% ซึ่งในประกาศบอกว่าให้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น เราเห็นเป็นโปรที่โอเค เลยไปซื้อ แต่ปัจจุบัน promotion นี้ของรถบางรุ่นก็ยังอยู่ และอยู่มาตลอด ซึ่งในฐานะผู้บริโภคเรามองว่า สินค้าของเจ้านี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ พูดไม่เป็นพูด มันทำให้ขาดความน่าตื่นเต้นในตัว promotion คำว่า promotion มันคือ สิ่งที่ผู้ที่ได้รับรู้สึกพิเศษมากกว่าคนทั่วไป ไม่ใช่ซื้อวันนี้ ก็ได้ราคาเท่ากับคนที่ซื้อวันหน้า แล้วจะเรียกว่า promotion ทำไม อย่างน้อยก็ทิ้งช่วงเวลาอย่างต่ำสัก 6 เดือนให้ราคารถลงก่อน ค่อยกลับมาใช้ใหม่ก็ยังได้ 

ปัจจุบัน promotion มาใหม่ 22 - 24 พ.ค. ดอกเบี้ย 0% 72 เดือน แถม มีการซื้อรถ 1 คัน อาจจะได้ฟรี 1 คัน ยิ่งทำให้ ผูู้บริโภค รู้สึกไม่มั่นใจ ถึงคุณภาพของรถ ที่ลดแลกแจกแถมกันขนาดนี้ คือผู้บริโภค สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ "ขายไม่ออก"ของรถฟอร์ดในปัจจุบัน 



ผู้บริหารฟอร์ด น่าจะรวมการบริหารแบบรถอเมริกันมาประยุกต์ใช้กับไทย แต่ไม่น่าจะได้ผล ซื้อรถฟอร์ด 1 คัน มีคนจากบริษัทโทรมาสำรวจความพึงพอใจไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ซึ่งน่าจะเอางบประมาณบางส่วนจาการ"สำรวจ"ความพึงพอใจ ไปพัฒนาอู่และการให้บริการทั้งต่อหน้าและลับหลังจะดีกว่า

ก่อนอื่นคุณต้องยอมรับก่อนว่ารถคุณมีปัญหา และ พร้อมที่จะแก้ไขให้เมื่อเกิดปัญหา ถึงจะซื้อใจผู้บริโภคได้ การซื้อรถแต่ละคันมันขึ้นอยู่กับดวงอยู่แล้วไม่ว่าจะยี่ห้อไหน ไม่มีใครว่างเอารถเข้าศูนย์บ่อยๆ นอกเสียจากว่ามันเกินเยียวยาจริงๆ ตอนนี้มีผู้บริโภคส่วนน้อย ถึง น้อยมากที่ยังเชื่อใจรถฟอร์ด  เราเป็นคนหนึ่งที่เคยเชื่อใจ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว รถเรายังไม่มีปัญหาเกินที่จะเยียวยา แต่เป็นปัญหาจุกจิกที่เป็นตั้งแต่แรก ซึ่งถ้าเอารถเข้าซ่อมแล้วปัญหาน่าจะเลยเถิดไปใหญ่ เช่น กดกระจกแล้วมีเสียงเอี๊ยดอ้าดเสียดสี ฟิล์มรถยนต์ด้านหน้าเป็นคลื่น ขณะขับมีเสียงตรงใต้พวงมาลัย เร่งไม่ขึ้น (รีวิวบอกตลอดแต่ก็ไม่คิดว่าจะเรื้อรังขนาดนี้) ซึ่งเราไม่อยากจะเข้าไปเพิ่มปัญหา หรือไปคลำปัญหาให้กับรถ  

นอกจากนั้นสิ่งที่เรารู้สึกเหมือนโดนทรยศจากฟอร์ด คือการนำรถเข้าเชคของฟอร์ดมีช่วงเวลาที่นานจนผิดสังเกตคือ 15000 km หรือ 6 เดือน ซึ่งทางผู้ขายอ้างว่า รถเราดีไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยๆ แค่นี้ก็แสดงออกถึงความไม่รับผิดชอบ ไม่จริงใจ และหนีปัญหาแล้ว การซื้อรถสักคัน ควรจะมีการดูแลหลังการขายให้มากกว่านี้ อย่างน้อย ให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าไปตรวจเช็ครถสักหน่อยก็ยังดี ให้สบายใจจากข่าวแง่ลบของรถฟอร์ดที่มีออกมาตลอด แต่ดูเหมือนฟอร์ดจะใช้วิธีการตรวจเช็คระยะครั้งแรกนี้ในการหนีปัญหา เราไม่รู้ค่ายอื่นระยะตรวจเช็คเป็นอย่างไร แต่ค่ายญี่ปุ่น 2 เจ้า ไม่เป็น แต่บางคนก็อาจจะบอกว่า ค่ายญี่ปุ่นเอาเปรียบผู้บริโภคโดยการให้เข้าเช็คบ่อยๆ แต่ในความคิดเห็นของเรา เราพอใจที่รถได้รับการตรวจเช็คตลอดเวลา มีปัญหาอะไรก็บอกและตรวจเช็คได้ในทันที

สรุป ผู้บริหารของฟอร์ดต้องแก้เกมส์ และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคก่อน ถึงจะกระเตื้องยอดขายขึ้นมาได้ การให้ดอกเบี้ย 0% นั้นจูงใจผู้ซื้อที่ส่วนมากมีกำลังซื้อไม่มากและไม่อยากเสียดอกเบี้ย  แต่ก็ต้องมานั่งคิดทบทวนว่า ถึงจะไม่เสียดอกเบี้ย แต่รถเข้าศูนย์บ่อยเป็นว่าเล่น แล้วไม่มีรถใช้ก็ไม่คุ้มกับค่าดอกเบี้ย ร้อยละไม่กี่บาทของค่ายอื่นนะ 

และความจริงที่เจ็บปวดไปกว่านั้น รถรุ่นที่ขายดิบขายดีอยู่รุ่นเดียวอย่าง Ford Ranger Wildtrak นั้น ราคาไม่เคยลง และไม่มี Promotion 0% ออกมาให้เห็นอย่างรุ่นอื่นๆที่ขายไม่ค่อยดี เช่น open cab , double cab แค่นี้ผู้บริโภคก็จับไต๋ของฟอร์ดได้แล้วว่า รถไหนขายดีเก็บไว้โก่งราคา รถไหนขายไม่ดีปล่อยให้หมด แล้วใครจะกล้าซื้อรถที่ขายไม่ดี อะไหล่ก็หายาก ปัญหาก็เยอะล่ะจริงไหม